วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565  เวลา 08.00 น.  ณ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

      นายชูศักดิ์  รู้ยิ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี  ให้สัมภาษณ์สดในรายการ "ผู้ว่าฯ คุยกับประชาชน"  ณ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเวลา 08.55 น. รายการ “แหลงข่าวชาวใต้”  ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

       ทั้งนี้ ได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานีเข้าเฝ้ารับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ในโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคใต้ประจำปีการศึกษา 2560-2562  ณ หอประชุมวชิราลงกรณ  มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง 2 ธันวาคม 2565 ซึ่งจังหวัดสุราษฎร์ธานีเตรียมการซักซ้อมการปฏิบัติ และการถวายความปลอดภัยร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสมพระเกียรติ  และได้เตรียมการด้านการดูแลอำนวยความสะดวกประชาชน ในการเฝ้ารับเสด็จ และการเข้าร่วมพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ทั้งบัณฑิตและครอบครัว การอำนวยความสะดวกด้านการจราจร โดยรอบมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ทั้งอย่างประสานส่วนราชการโดยรอบมหาวิทยาลัยเพื่อจัดเตรียมสถานที่จอดรถฟรี รวมถึงพื้นที่เอกชนรวมกว่า 2,400 คัน  และการจัดเตรียมหน่วยแพทย์ฉุกเฉินและจุดปฐมพยาบาล 8 จุดรอบมหาวิทยาลัย ตลอดช่วงพิธีพระราชทานปริญญาบัตร และได้ฝากเน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนเป็นเจ้าบ้านที่ดี ในการต้อนรับประชาชนที่จะเข้ามาในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งคาดว่าจะมีไม่น้อยกว่า 50,000 คน
        พร้อมกันนี้ ได้กล่าวถึงภาคการท่องเที่ยวในพื้นที่เกาะ ภายใต้แคมเปญ Always Warm ซึ่งเป็นแคมเปญใหญ่ที่ช่วยปลุกกระแสการท่องเที่ยวของประเทศไทยหลังสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 โดยคาดว่าในไตรมาสที่ 4 ปลายปีนี้ เฉพาะเกาะสมุยจะมีรายได้ถึง 3,000 ล้านบาท หรือราว 70% ของรายได้ก่อนการเกิดสถานการณ์โควิด-19 และเกาะสมุยยังมีโอกาสได้ต้อนรับเรือสำราญ Mein Schiff ของกลุ่ม Tui Cruise ที่นำนักท่องเที่ยวต่างชาติมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 ถึงเดือนพฤษภาคม 2566 จึงคาดการณ์ว่าหากสถานการณ์ปกติ ปีหน้าตลาดเรือสำราญจะทยอยกลับมาสร้างสีสันและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ จึงฝากกำชับถึงการเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการต้อนรับนักท่องเที่ยวเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของเมืองท่องเที่ยวและจะเป็นโอกาสในการสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวอีกครั้งในคราวต่อไป  และได้กล่าวถึงการรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะนี้ โดยผู้ติดเชื้ออย่างไม่เป็นทางการทั้งประเทศประมาณ 5,000 คนต่อวัน จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังตนเองและเชิญชวนให้เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ได้ที่โรงพยาบาลของรัฐ และรพ. สต. ทุกแห่ง โดยยืนยันว่าจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีวัคซีนเพียงพอ และทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตรียมกระจายวัคซีนออกมาเพิ่มอีก เพื่อให้พร้อมบริการประชาชน ปิดท้ายด้วยการแจ้งเตือนเรื่องสภาพอากาศ โดยได้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ลาดเชิงเขา พื้นที่ทางน้ำไหลผ่าน ให้เฝ้าระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนที่สะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก รวมถึงให้ประชาชนติดตามข่าวพยากรณ์อากาศจากทางราชการอย่างใกล้ชิด

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2565  ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ยังคงมีประชาชนนับพันคนมาต่อแถวรอรับการแจกถุงปันสุข ซึ่งเป็นภาพที่คุ้นตาของผู้ที่ผ่านไปผ่านมา โดยวันนี้ มี นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมด้วย นายพีระ กาญจนพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 8 นายณรงค์หลักกำจร ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตลอดจน ส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ อส.และจิตอาสา ร่วมให้บริการแจกถุงปันสุขแก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย คนพิการ ผู้สูงอายุ รวม 1,110 ชุด ซึ่งเป็นสัปดาห์สุดท้ายหลังดำเนินการต่อเนื่องมาประมาณ 20 เดือน

ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของการทำถุงปันสุข พัฒนามาจากการตั้งตู้ปันสุข หน้าจวนผู้ว่าตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด 19 ระบาดใหม่ๆ มีการหยุดกิจการ การกักตัวผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยง จนขาดรายได้มีประชาชนเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก จึงเกิดกระแสการทำตู้ปันสุข โดยช่วงแรกมีส่วนราชการภาคเอกชนและประชาชนนำสิ่งของมาเติมตู้ทุกเช้า แต่ประสบปัญหาว่าสิ่งของไม่เพียงพอและไม่ทั่วถึง จึงได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นการทำถุงปันสุขโดยจัดสิ่งของรวมเป็นชุดประกอบด้วยข้าวสาร ปลากระป๋อง น้ำมันพืช บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำปลา ของใช้ในครัวเรือนที่จำเป็น รวมถึง นมและขนม ซึ่งต่อมา ได้ทำเป็นถุงปันสุขเด็ก บางครั้งก็ได้รับ บริจาคพืชผักสมุนไพร จากชุมชน วัด เป็นจำนวนมาก ก็นำมาแจกจ่ายให้ประชาชนได้นำไปใช้กันในครัวเรือนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน โดยประมาณการเบื้องต้น ตลอด 20 เดือนที่ทำถุงปันสุข มีการแจกจ่ายสิ่งของไปราว 80,000 ชุด ประกอบด้วยข้าวสาร 80,000 กิโลกรัมปลากระป๋อง 160,000 กระป๋องน้ำมันพืชเกือบแสนขวด ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งของที่ได้รับบริจาคมาทั้งสิ้น ทั้งจากส่วนราชการ ห้างร้านภาคเอกชน ภาคประชาชนหรือแม้กระทั่งพระคุณเจ้าจากวัดต่างๆ ประเมินมูลค่าไม่น้อยกว่า 8 ล้านบาท โดยไม่ได้ใช้ งบประมาณของทางราชการแต่อย่างใด

แม้ว่าขณะนี้ความเดือดร้อนของประชาชนผู้มีรายได้น้อยยังไม่ได้หมดไป แต่ด้วยสถานการณ์โควิด 19 ได้คลี่คลาย กิจกรรมกิจการต่างๆกลับมาเดินได้ตามปกติจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการยุติภารกิจการแจกถุงปันสุขทุกวันอาทิตย์ พร้อมทั้งขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุน ด้วยดีมาโดยตลอด และหากเกิดภาวะวิกฤต หรือความเดือดร้อนใดๆเกิดขึ้นอีก ก็พร้อมที่จะเป็นคนกลางประสานความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน มาส่งถึงมือประชาชนอีกครั้ง ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีกล่าวปิดท้าย

วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมโรงเรียนพุนพินพิทยาคม ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

นายชูศักดิ์  รู้ยิ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมการออกหน่วยแพทย์และทันตแพทย์เคลื่อนที่ ครั้งที่ 66 ของมูลนิธิหน่วยแพทย์และทันตแพทย์เคลื่อนที่ ร่วมกับ สมาคมทันตแพทย์เอกชนแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และภาคีเครือข่าย โดยมี ทันตแพทย์ริม  เกษสาคร  ประธานมูลนิธิหน่วยแพทย์และทันตแพทย์เคลื่อนที่ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรม พร้อมด้วยพลังงานจ้งหวัด สุราษฎร์ธานี คล้งจังหวัดสุราษฎร์ธานี หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสุราษฎร์ธานี  ปลัดอาวุโสอำเภอพุนพิน ผู้อำนวยการโรงเรียนพุนพินพิทยาคม แขกผู้มีเกียรติและประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม
       สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมให้บริการทางการแพทย์และทันตกรรม เพื่อช่วยเหลือให้การรักษา ป้องกันโรค ส่งเสริมสุขภาพ และฟื้นฟูสุขอนามัยโดยเฉพาะโรคทั่วไปและโรคในช่องปากของประชาชน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการให้บริการประชาชนโดยไม่มีค่ารักษาหรือค่าบริการใดๆ ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นประจำ ปีละ 3-4 ครั้ง และครั้งนี้เป็นการออกหน่วยครั้งที่ 3 ของปี พ.ศ. 2565 และเป็นครั้งที่ 66 จากการจัดกิจกรรมต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 พร้อมกันนี้ ได้มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนโรงเรียนพุนพินพิทยาคม และโรงเรียนสุราษฎร์พิทยา จำนวน 7 ทุน